วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ขนมบัวลอยเนื้อลูกตาล


ขนมบัวลอยเนื้อลูกตาล - บัวลอยประยุกต์  
Toddy Palm Balls in Coconut Milk
*สำหรับ 3-4 ท่าน
*ระยะเวลาในการทำ 1 ชั่วโมง
*วัตถุดิบขนมบัวลอยเนื้อลูกตาล - บัวลอยประยุกต์ 
*Toddy Palm Balls in Coconut Milk

ตัวขนม
1.แป้งข้าวเหนียว 250 กรัม
2.แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
3.เนื้อตาล 100 กรัม
4.เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
5.น้ำอุ่น 1 ถ้วย
6.วุ้นมะพร้าว 200 กรัม

น้ำกะทิ
7.กะทิ 3 ถ้วยตวง
8.เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
9.น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
10.น้ำตาลปี๊ป 2 ถ้วย

วิธีทำขนมบัวลอยเนื้อลูกตาล - บัวลอยประยุกต์ Toddy Palm Balls in Coconut Milk
1.น้ำกะทิ น้ำตาลปี๊ปและเกลือ ผสมกันตั้งไฟ คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสชาติหวานเค็ม หากชอบหวานให้เติมน้ำตาลทรายลงไปตามต้องการ ยกลงจากเตา เตรียมไว้รอแป้ง
2.นำแป้งทั้ง 2 ชนิดเคล้าให้เข้ากัน พร้อมเติมเกลือ 1/4 ช้อนชา
3.ผสมเนื้อตาลลงไป ค่อยๆนวดให้เข้ากันดี จากนั้นเติมน้ำอุ่น นวดให้แป้งเหนียวและเนียนพอที่จะปั้นได้
4.หยิบแป้งและปั้นให้เป็นเส้นกลมยาว ใช้มีดตัดแป้งเป็นทรงกลมเล็กๆ (แทนการปั้น) โรยแป้งนวลเพื่อไม่ให้ติดกัน
5.นำน้ำเปล่าตั้งไฟให้เดือด นำแป้งที่ปั้นแล้วลงไปต้ม เมื่อแป้งสุกจะลอยขึ้นมาด้านบน คนไปมาสักครู่ ตักขนมลงไปแช่ในน้ำกะทิ
6.ผสมวุ้นมะพร้าว และตั้งไฟอีกครั้ง พอเริ่มจะเดือดให้ยกลง ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ

ข้อแนะนำ 
1.ควรต้มตัวขนมบัวลอยให้สุกทั่วทั้งเม็ด ดูได้จากสีเหลืองเข้มเสมอกัน ไม่เช่นนั้นตัวขนมจะมีรสเปรี้ยว
2.สามารถใส่ลูกชิดหรือมะพร้าวอ่อน และอื่นๆ จะเพิ่มความอร่อยขึ้นอีก...

ศิลปะเกี่ยวกับการจัดอาหาร

ศิลปะเกี่ยวกับการจัดอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญของมนุษย์ อาหารนอกจากสนองความต้องการทางกายของมนุษย์แล้ว อาหารยังสนองความต้องการทางด้านจิตใจ สังคมและวัฒนธรรม ดังนั้นในการบริโภคอาหารผู้จัดอาหารจึงต้องใช้ศิลปะในการสร้างสรรค์ตกแต่งอาหาร เพื่อให้อาหารเป็นเครื่องจรรโลงใจในขณะเดียวกัน ศิลปะเกี่ยวกับการอาหาร
 มีองค์ประกอบศิลปะที่นำมาเกี่ยวข้องในการจัดอาหาร 
    1. ขนาดและสัดส่วน (Size and Proportion)ในการจัดอาหาร ขนาดและสัดส่วนนำมาเกี่ยวข้องในการจัดอาหารในภาชนะ หากภาชนะมีขนาดเล็กอาหารในจานควรมีปริมาณที่พอดี ไม่มากจนล้นหรือเลอะออกมานอกภาชนะ เพราะจะทำให้ไม่น่ารับประทาน ในการจัดอาหารบนโต๊ะ หากโต๊ะมีขนาดเล็กภาชนะที่ใช้ควรมีสัดส่วนที่พอเหมาะไม่ใหญ่จนแน่นโต๊ะ หรือเล็กจนตักอาหารไม่ถนัด 
   2. ความกลมกลืน (Harmony)ความกลมกลืนในการจัดอาหารจะเกี่ยวข้องกับอาหารและภาชนะ อาหารควรเหมาะสมและกลมกลืนกับภาชนะอาหารประเภททอดควรใส่ในจาน หรืออาหารประเภทน้ำควรใส่ในชาม นอกจากนี้ผลไม้ควรใส่ตะกร้าหรือถาดไม้จะเหมาะสมกว่าใส่ในถาดโลหะ อาหารบางประเภทควรคำนึงถึงความกลมกลืนของภาชนะเช่นกัน เช่น อาหารภาคเหนืออาจเสิร์ฟในขันโตก หรืออาหารภาคกลางเสิร์ฟในจานที่ดูดสวยงาม สะอาด หรือมีขอบเป็นลวดลายไทย เป็นต้น   
   3. การตัดกัน (Contrast)ศิลปะในการตัดกันของการจัดอาหาร ทำได้โดยการตัดกันระหว่างการตกแต่งโต๊ะอาหารและการจัดอาหาร สีของอาหารหรือการตกแต่งอาหาร แต่ในการตัดกันไม่ควรตัดกันในปริมาณที่มาก เพราะจะทำให้ขาดความน่าสนใจ ในปัจจุบันการจัดตกแต่งโต๊ะอาหารนิยมจัดดอกไม้ให้สูงเกินมาตรฐานการจัด เพื่อสร้างความสนใจและความโดดเด่นของบรรยากาศ แต่ในการจัดควรระมัดระวังเพราะจะทำให้รกและขัดต่อการสนทนาได้ ส่วนสีของอาหารหรือการตกแต่งอาหารสามารถตัดกันได้ตามความเหมาะสมของความสวยงาม
  4. เอกภาพ (Unity)เอกภาพในการจัดอาหาร ทำได้โดยการรวมกลุ่มของการจัดโต๊ะอาหาร เช่น การจัดจาน ช้อนส้อม หรือชุดอาหารเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ได้อย่างสะดวกและเหมาะสมกับอาหารที่จัดนั้น ๆ ส่วนการจัดอาหารในจานควรจัดให้พอเหมาะไม่แผ่กระจายยากต่อการรับประทาน หรือเครื่องปรุงต่าง ๆ ควรอยู่ด้วยกันกับอาหารที่เสิร์ฟนั้น ๆ 
  5. การซ้ำ (Repetition) การซ้ำเป็นการทำในลักษณะเดิม เช่น การตกแต่งของจานด้วยลักษณะซ้ำกันแบบเดิมอย่างมีจังหวะ ได้แก่ การวางแตงกวาเรียงรอบขอบจาน เพื่อเน้นการจัดอาหารให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น
  6. จังหวะ (Rhythm) การจัดจังหวะในการตกแต่งอาหาร ทำได้หลายประการ ทั้งการจัดจังหวะของอาหารบนโต๊ะ การตกแต่ง หรือจัดตกแต่งอาหารในภาชนะ เช่นการวางแตงกวาสลับกับมะเขือเทศเรียงรอบขอบจาน หรือการจัดตกแต่งบริเวณโต๊ะอาหารด้วยสิ่งตกแต่งต่าง ๆ อย่างมีจังหวะ เช่น แจกันดอกไม้ หรือเชิงเทียน เป็นต้น 
  7. การเน้น (Emphasis) ศิลปะการจัดตกแต่งอาหารให้น่าสนใจอยู่ที่การเน้น การเน้นสามารถทำได้ทั้งการตกแต่งบรรยากาศในห้องอาหาร การเน้นยังเกี่ยวข้องกับสีสันของอาหาร การตกแต่งอาหาร เช่น การแกะสลักผัก ผลไม้ หรือการจัดบรรยากาศด้วยการจัดดอกไม้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการเน้นทั้งสิ้น หากต้องการให้อาหารที่จัดน่าสนใจ ควรคำนึงถึงศิลปะที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ สิ่งนั้นคือ การเน้นนั่นเอง 
  8. ความสมดุล (Balance)การจัดอาหารหรือโต๊ะอาหาร ความสมดุลจะช่วยให้พื้นที่จัดมีน้ำหนักในการจัดวางอย่างลงตัว ไม่หนาแน่นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ทำให้ง่ายต่อการใช้สอยและงดงามต่อการมองเห็น การจัดอาหารในงานเลี้ยง พื้นที่จัดไม่ควรอยู่รวมกันเพราะจะทำให้เกิดความหนาแน่นของพื้นที่ ควรกระจายพื้นที่ในการจัดให้สมดุล โต๊ะวางอาหารควรอยู่ในบริเวณที่มีพื้นที่กว้างเพื่อสะดวกต่อการตัดอาหาร ขนมหวานหรือผลไม้ควรแยกออกไปอีกบริเวณหนึ่ง เพื่อสร้างความสมดุลยของพื้นที่ นอกจากนี้การจัดอาหารในจานควรคำนึงถึงความสมดุลเช่นกันเพราะความสมดุลจะทำให้อาหารในจานดูเหมาะสม 
  9. สี (Color) การใช้สีตกแต่งอาหารเป็นเรื่องง่ายกว่าการใช้สีตกแต่งในเรื่องอื่น เพราะอาหารในแต่ละอย่างจะมีสีสันในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารไทย ซึ่งมีมากมายหลายสี แกงเขียวหวานสีเขียวอ่อน แกงเผ็ดสีส้ม หรือแกงเลียงสีเขียว การใช้สีตกแต่งอาหารเพียงเพื่อต้องการให้อาหารเกิดความน่ารับประทาน และสร้างจุดเด่นของอาหาร ดังนั้นการใช้สีตกแต่งอาหาร จึงควรใช้สีจากธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค เช่น สีเขียวจากใบเตย สีม่วงหรือสีน้ำเงินจากดอกอัญชัน หรือสีเหลืองจากฟักทองหรือขมิ้น เป็นต้น ถึงแม้ว่าอาหารจะมีรสอร่อยเพียงใดแต่หากขาดการปรุงแต่งด้วยสีสันอาหารนั้นอาจขาดความสนใจได้เช่นกัน

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ศิลปะเกี่ยวกับการจัดอาหาร

ศิลปะเกี่ยวกับการจัดอาหาร





อาหาร เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญของมนุษย์ อาหารนอกจากสนองความต้องการทางกายของมนุษย์แล้ว อาหารยังสนองความต้องการทางด้านจิตใจ สังคมและวัฒนธรรม ดังนั้นในการบริโภคอาหารผู้จัดอาหารจึงต้องใช้ศิลปะในการสร้างสรรค์ตกแต่ง อาหาร เพื่อให้อาหารเป็นเครื่องจรรโลงใจในขณะเดียวกันศิลปะเกี่ยวกับการอาหาร มีองค์ประกอบศิลปะที่นำมาเกี่ยวข้องในการจัดอาหาร

1. ขนาดและสัดส่วน (Size and Proportion)ใน การจัดอาหาร ขนาดและสัดส่วนนำมาเกี่ยวข้องในการจัดอาหารในภาชนะ หากภาชนะมีขนาดเล็ก อาหารในจานควรมีปริมาณที่พอดี ไม่มากจนล้นหรือเลอะออกมานอกภาชนะ เพราะจะทำให้ไม่น่ารับประทาน ในการจัดอาหารบนโต๊ะ หากโต๊ะมีขนาดเล็กภาชนะที่ใช้ควรมีสัดส่วนที่พอเหมาะไม่ใหญ่จนแน่นโต๊ะ หรือเล็กจนตักอาหารไม่ถนัด

2. ความกลมกลืน (Harmony)ความ กลมกลืนในการจัดอาหารจะเกี่ยวข้องกับอาหารและภาชนะอาหารควรเหมาะสมและกลม กลืนกับภาชนะอาหารประเภททอดควรใส่ในจาน หรืออาหารประเภทน้ำควรใส่ในชาม นอกจากนี้ผลไม้ควรใส่ตะกร้าหรือถาดไม้จะเหมาะสมกว่าใส่ในถาดโลหะ อาหารบางประเภทควรคำนึงถึงความกลมกลืนของภาชนะเช่นกัน เช่น อาหารภาคเหนืออาจเสิร์ฟในขันโตก หรืออาหารภาคกลาง เสิร์ฟในจานที่ดูดสวยงาม สะอาด หรือมีขอบเป็นลวดลายไทย เป็นต้น

3. การตัดกัน (Contrast)ศิลปะ ในการตัดกันของการจัดอาหาร ทำได้โดยการตัดกันระหว่างการตกแต่งโต๊ะอาหารและการจัดอาหาร สีของอาหารหรือการตกแต่งอาหาร แต่ในการตัดกันไม่ควรตัดกันในปริมาณที่มาก เพราะจะทำให้ขาดความน่าสนใจ ในปัจจุบันการจัดตกแต่งโต๊ะอาหารนิยมจัดดอกไม้ให้สูงเกินมาตรฐานการจัด เพื่อสร้างความสนใจและความโดดเด่นของบรรยากาศ แต่ในการจัดควรระมัดระวังเพราะจะทำให้รกและขัดต่อการสนทนาได้ ส่วนสีของอาหารหรือการตกแต่งอาหารสามารถตัดกันได้ตามความเหมาะสมของความสวย งาม

4. เอกภาพ (Unity)เอกภาพ ในการจัดอาหาร ทำได้โดยการรวมกลุ่มของการจัดโต๊ะอาหาร เช่น การจัดจาน ช้อนส้อม หรือชุดอาหารเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ได้อย่างสะดวกและเหมาะสมกับอาหารที่จัดนั้น ๆ ส่วนการจัดอาหารในจานควรจัดให้พอเหมาะไม่แผ่กระจายยากต่อการรับประทาน หรือเครื่องปรุงต่าง ๆ ควรอยู่ด้วยกันกับอาหารที่เสิร์ฟนั้น ๆ

5. การซ้ำ (Repetition) การ ซ้ำเป็นการทำในลักษณะเดิม เช่น การตกแต่งของจานด้วยลักษณะซ้ำกันแบบเดิมอย่างมีจังหวะ ได้แก่ การวางแตงกวาเรียงรอบขอบจาน เพื่อเน้นการจัดอาหารให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น

6. จังหวะ (Rhythm) การ จัดจังหวะในการตกแต่งอาหาร ทำได้หลายประการ ทั้งการจัดจังหวะของอาหารบนโต๊ะ การตกแต่ง หรือจัดตกแต่งอาหารในภาชนะ เช่น การวางแตงกวาสลับกับมะเขือเทศเรียงรอบขอบจาน หรือการจัดตกแต่งบริเวณโต๊ะอาหารด้วยสิ่งตกแต่งต่าง ๆ อย่างมีจังหวะ เช่น แจกันดอกไม้ หรือเชิงเทียน เป็นต้น

7. การเน้น (Emphasis) ศิลปะ การจัดตกแต่งอาหารให้น่าสนใจอยู่ที่การเน้น การเน้นสามารถทำได้ทั้งการตกแต่งบรรยากาศในห้องอาหาร การเน้นยังเกี่ยวข้องกับสีสันของอาหาร การตกแต่งอาหาร เช่น การแกะสลักผัก ผลไม้ หรือการจัดบรรยากาศด้วยการจัดดอกไม้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการเน้นทั้งสิ้น หากต้องการให้อาหารที่จัดน่าสนใจ ควรคำนึงถึงศิลปะที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ สิ่งนั้นคือ การเน้นนั่นเอง

8. ความสมดุล (Balance)การ จัดอาหารหรือโต๊ะอาหาร ความสมดุลจะช่วยให้พื้นที่จัดมีน้ำหนักในการจัดวางอย่างลงตัว ไม่หนาแน่นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ทำให้ง่ายต่อการใช้สอยและงดงามต่อการมองเห็น การจัดอาหารในงานเลี้ยง พื้นที่จัดไม่ควรอยู่รวมกันเพราะจะทำให้เกิดความหนาแน่นของพื้นที่ ควรกระจายพื้นที่ในการจัดให้สมดุล โต๊ะวางอาหารควรอยู่ในบริเวณที่มีพื้นที่กว้างเพื่อสะดวกต่อการตัดอาหารขนม หวานหรือผลไม้ควรแยกออกไปอีกบริเวณหนึ่ง เพื่อสร้างความสมดุลยของพื้นที่ นอกจากนี้การจัดอาหารในจานควรคำนึงถึงความสมดุลเช่นกันเพราะความสมดุลจะทำ ให้อาหารในจานดูเหมาะสม

9. สี (Color) การ ใช้สีตกแต่งอาหารเป็นเรื่องง่ายกว่าการใช้สีตกแต่งในเรื่องอื่น เพราะอาหารในแต่ละอย่างจะมีสีสันในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารไทย ซึ่งมีมากมายหลายสี แกงเขียวหวานสีเขียวอ่อน แกงเผ็ดสีส้ม หรือแกงเลียงสีเขียว การใช้สีตกแต่งอาหารเพียงเพื่อต้องการให้อาหารเกิดความน่ารับประทาน และสร้างจุดเด่นของอาหาร ดังนั้นการใช้สีตกแต่งอาหาร จึงควรใช้สีจากธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค เช่น สีเขียวจากใบเตย สีม่วงหรือสีน้ำเงินจากดอกอัญชัน หรือสีเหลืองจากฟักทองหรือขมิ้น เป็นต้น ถึงแม้ว่าอาหารจะมีรสอร่อยเพียงใดแต่หากขาดการปรุงแต่งด้วยสีสันอาหารนั้น อาจขาดความสนใจได้เช่นกัน

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ศิลปะในชีวิตประจำวันกับการประยุกต์ใช้

ศิลปะกับการแต่งกาย
 ศิลปะมีส่วนช่วยในการแต่งกาย ทำให้เกิดความสวยงาม และเหมาะสมกับบุคลิก ใช้ความรู้สึกของเส้นและสี เสริมให้ดูเด่นหรือด้อยได้
 มีความสำคัญในการทำศิลปะ คือการนำความประณีตสวยงามของศิลปะมาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลงานที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ผลงานน่ายกย่องและมีคุณค่า
 เป็นศิลปะที่มุ่งประโยชน์การใช้สอย มีความงามเป็นส่วนประกอบ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ศิลปะแบ่งออกเป็น 5แขนง คือ 
1. หัตถศิลป์
2. อุตสาหกรรมศิลป์
3. พาณิชย์ศิลป์
4. มัณฑนศิลป์
5. นิเทศศิลป์
ศิลปะกับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
 การนำคุณค่าของศิลปะ มาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตได้ดังนี้
1. พัฒนาคุณค่าทางด้านจิตใจ ชื่นชมในความงาม เพื่อความเพลิดเพลิน
2. พัฒนาคุณค่าทางด้านปัญญา ความคิดสร้างสรรค์
3. พัฒนาคุณค่าทางด้านประโยชน์ใช้สอย
ศิลปะกับการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ
 วิชาศิลปะ จำเป็นต้องนำทักษะที่ได้ฝึกฝนมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวนักเรียนมากที่สุดก็คือ พัฒนาการเรียนและงานต่างๆ

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ความหมายของศิลปะ

คำว่า "ศิลปะ" เป็นคำที่มีความหมายกว้างขวางมาก เป็นศาสตร์ที่รวมผลงานที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลของมุนษย์ไม่ว่าจะเป็นทัศนศิลป์ที่ประกอบไปด้วย จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม นาฏศิลป ์และศิลปะการแสดง ดนตรี วรรณศิลป์หรือกระทั่ง ประยุกต์ศิลป์ซึ่งเป็นผลงานที่มนุษย์พบเห็นในชีวติประจำวันล้วน ให้คุณค่าให้ประโยชน์แก่มวลมนุษย์ งานศิลปะแม้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางผลผลิตเพื่ออาหารทางกายแต่คุณสมบัติที่สำคัญยิ่งคือความงามที่ทำให้เกิดความรู้สึก ซาบซึ้งในคุณค่าของความงามหรือความพึงใจที่เรียกว่าคุณค่าทางสุนทรีย์ซึ่งคุณค่าทางสุนทรีย์นี้เองเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เลือกบริโภคผลงานศิลปะที่มีคุณค่า และ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวันได้
ความหมายของศิลปะศิลปะตรงกับภาษาอังกฤษว่า "ART"การทำความเข้าใจในความหมายของคำว่าศิลปะเป็นเรื่องที่ยากเพราะศิลปะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างและ การ แสดงอารมณ์ความรู้สึกภายใจของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับความงามความพอใจของแต่ละคน บางคนอาจมีความชื่นชมในความงามแตกต่างกันและยังคงเป็นเรื่องที่เข้าใจ ยากสำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษาศิลปะ
ความหมายของศิลปะตามแนวคิดของศิลปิน 1. ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ (ArtasRepresentation) ผลงานศิลปะอาจจะมีทั้งประเภทที่ลอกเลียนแบบ ธรรมชาติ หรือไม่ลอกเลียนแบบ ธรรมชาติก็ได้กล่าวคือถ้าเป็นภาพเขียนสิ่งของธรรมชาติหรือภาพมนุษย์ก็จัดได้ว่าเป็นงานประเภทที่ลอกเลียนแบบธรรมชาติแต่ หากว่าเป็นการ เขียนภาพแสดงความพิศดาร ของการใช้สีสันเพื่อให้เกิดความรู้สึกสนใจหรืออารมณ์ตามต้องการก็เป็นผลงานที่ไม่ลอกเลียนแบบธรรมชาติเช่นเดียวกับดนตรีผลงาน ดนตรีส่วนใหญ่เป็นประเภทที่ไม่ลอกเลียนแบบธรรมชาติ เพราะดนตรีอาจใช้ถ้อยคำหรือไม่ใช้ถ้อยคำใด ๆเลยก็ได้เพราะดนตรีเป็นเรื่องของความสนใจความไพเราะของ เสียงเช่นดนตรีประเภทProgramMusic (ดนตรีที่สามารถสื่อออกมาเป็นเรื่องราว) ซึ่งอาจนำมาใช้การประกอบการแสดงเราถือว่าเป็นผลงานที่ไม่ลอกเลียนแบบธรรมชาติ ส่วนVocalMusic (ดนตรีประเภทขับร้อง) นั้นเราถือว่าเป็นผลงานที่ลอกเลียนแบบธรรมชาติ เพราะมีการใช้ถ้อยคำเพื่อบรรยายเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้เกิด จินตภาพเป็นไปตามคำร้อง หรือถ้าหากว่าเป็นการแสดงเลียนแบบการเคลื่อนไหวธรรมชาติ เช่นการเลียนแบบท่าทางต่าง ๆของสัตว์ก็จัดว่าเป็นผลงานที่ลอกเลียนแบบ ธรรมชาติ เช่นเดียวกัน
2. ศิลปะคือรูปทรง (ArtasPureForm) งานศิลปะไม่สามารถจะสร้างขึ้นมาได้ถ้าปราศจากรูปทรง Form การที่เราชื่นชมเพราะว่าในศิลปวัตถุมีรูปทรงที่สวยงามทั้งนี้เพราะลักษณะที่สำคัญคือมีความกลมกลืนขององค์ประกอบที่ทำให้เป็นเอกภาพ ตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์ของดนตรีตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และรูปทรงของเสียงดนตรี สามารถถ่ายทอดมายังจิตใจได้
3. ศิลปะคือการแสดงออกซึ่งอารมณ์ (ArtasExpressionism) ความคิดเรื่องศิลปะ คือการแสดงออกซึ่งอารมณ์นี้ใช้เพียงแค่ ถือว่าวัตถุประสงค์ของ ศิลปะไม่ใช้เสนอความงามในรูปทรงของสีสันหรือเสียง และไม่ใช้เพืยงแค่การลอกเลียนแบบจากธรรมชาติ อารมณ์ทางศิลปะนั้นแตกต่างจากการแสดงอารมณ์แบบอื่น ๆ ดัง ต่อไปนี้
3.1 การแสดงอารมณ์ทางศิลปะ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกบเจตนาหรือความตั้งใจ
3.2 การแสดงอารมณ์ทางศิลปะ ต้องมีจุดประสงค์หรือคุณค่าอยู่ในตัวเองโดยไม่มีเจตนาอื่นซ้อนเร้น เคลือบแฝง
3.3 การแสดงอารมณ์ทางศิลปะ แสดงให้รู้ว่าบุคคลมีปฏิกิริยาหรือมีความรุ้สึกในทางสุนทรียะ คือความชอบไม่ชอบ
3.4 สื่ออารมณ์ในศิลปะ ประเภทการแสดงอารมณ์มีความหมายถึงคุณค่าอยู่ในตัวเป็นลักษณะพิเศษไม่เหมือนกับสื่อประเภทอื่น ๆ เช่น
การพูดไม่ว่าเราจะพูดถึงเรื่องอะไร การตีค่าความหมายก็จะหมายถึงสิ่งที่เราพูดแต่ในทางดนตรีหรือนาฏศิลป์นั้นคำพูดแต่ละคำมีความหมายในตัวเองโดยเป็นคำที่มีเสียงไพเราะการรับรู้ตาม ธรรมชาติของมนุษย์ สีสันและรูปทรงจะทำให้สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไรและใช้ประโยชน์อะไร
4. ศิลปะ คือการแสดงออกทางความรู้สึก ศิลปินอาจจะแก้ไขแต่งเติมดัดแปลงจากธรรมชาติ เช่น สื่อความหมายลงในภาพที่วานทิวทัศน ์ ศิลปะจึงเป็น การ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับจากธรรมชาติโดยมีมนุษย์เป้นตัวถ่ายทอดความประทับใจ แต่การรับรู้ของผู้ชมอาจจะต้องการชื่นชมความงามในรูปแบบที่แตกต่างกัน ได้แก่
4.1 ศิลปะแบบเหมือนจริง (Realistic) เป็นศิลปะที่ไม่ซับซ้อนมีเนื้อหาสาระที่ปรากฏเด่นชัดแต่ผู้สร้างและผู้ชมต้องมีความรู้เรื่องนั้นด้วย เช่นภาพคน ภาพสัตว์
4.2 ศิลปะแบบกึ่งนามธรรม(Semiabstract) เป็นการถ่ายทอดที่ผิดเบนไปจากรูปธรรมหรือ แบบเหมือนจริงด้วยการตัดทอนรูปทรงจากของจริงให้เรียบง่าย แต่ยังมีเค้าโครงเดิมอยู่สามารถดูรู้ว่าเป็นภาพอะไร
4.3 ศิลปะแบบนามธรรม (abstract) เป็นศิลปะประเภทที่ไม่มีความจริงเหลืออยู่ เพราะถูกตัดทอนให้เหลือแค่เส้นสี น้ำหนัก ที่ก่อให้เกิดความงามตามอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เหนือความเป็นจริงต้องใช้จินตนาการในการรับรู้รับชม
4.2 ศิลปะแบบกึ่งนามธรรม(Semiabstract) เป็นการถ่ายทอดที่ผิดเบนไปจากรูปธรรมหรือ แบบเหมือนจริงด้วยการตัดทอนรูปทรงจากของจริงให้เรียบง่าย แต่ยังมีเค้าโครงเดิมอยู่สามารถดูรู้ว่าเป็นภาพอะไร4.3 ศิลปะแบบนามธรรม (abstract) เป็นศิลปะประเภทที่ไม่มีความจริงเหลืออยู่ เพราะถูกตัดทอนให้เหลือแค่เส้นสี น้ำหนัก ที่ก่อให้เกิดความงามตามอารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เหนือความเป็นจริงต้องใช้จินตนาการในการรับรู้รับชม
david marat
abstract

ประเภทของงานศิลปะ

เราอาจแบ่งประเภทของงานศิลปะตามหลักการณ์ทางสุนทรียศาสตร์ได้เป็น 2 ประเภทคือ วิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์

1. วิจิตรศิลป์ (Fine Arts) คือศิลปะที่งดงาม หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยตอบสนองความต้องการทางด้านจิตใจและอารมณ์ที่สำคัญ ประกอบด้วย 6 สาขา คือ

1.1 จิตรกรรม
1.2 ประติมากรม
1.3 สถาปัตยกรรม
1.4 วรรณกรรม
1.5 ดุริยางศิลป์ หรือ ดนตรี
1.6 
นาฏศิลป์ การละคร การเต้นรำ ภาพยนตร์

2. ประยุกต์ศิลป์ (AppliedArts) คือศิลปะที่สร้างขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายแสดงความงามร่วมกับประโยชน์ทางการใช้สอยเช่น ออกแบบนิเทศศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ มัณฑนศิลป์ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ ออกแบบเครื่องประดับ เป็นต้น

สรุป
ศิลปะ เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวมนุษย์เป็นสิ่งที่ให้คุณค่ามหาศาลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ศิลปะที่ให้คุณค่าทางร่างกายเป็นศิลปะที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต ประจำวันของมุนษย์เป็นสิ่งที่มนุษย์พบเห็นเข้าใจและเห็นคุณค่าคุณประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ศิลปะที่ให้คุณค่าทางจิตใจเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าในการพัฒนา มนุษย์ให้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

ศิลปะในการดำเนินชีวิต

รรมชาติของมนุษย์แต่ละคนที่เกิดมาสู่โลกใบนี้ ย่อมมีศิลปะภายในจิตวิญญาณตนเองเป็นพื้นฐาน หากบุคคลใดสามารถรักษาคุณสมบัติอันล้ำค่านี้เอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ตลอดไป ย่อมมีโอกาสใช้เป็นพื้นฐานการเรียนรู้เพื่อการดำเนินชีวิตให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ที่มีความหลากหลายได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ร่วมกับคนชาติใดภาษาใดแม้ศาสนาใด อีกทั้งมีพื้นฐานแนวคิดความเชื่อแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม

            ในยุคปัจจุบันที่มีอิทธิพลวัตถุซึ่งพร้อมที่จะเข้ามาครอบงำทำลายสมบัติอันล้ำค่าดังกล่าว แต่ก็หาใช่ว่าอิทธิพลวัตถุจะเป็นสิ่งเลวร้ายไม่ ถ้ามีรากฐานจิตใจอิสระจริงย่อมมองวิถีการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏอยู่ภายนอกตัวเองให้เห็นได้สองด้านเสมอ อีกทั้งยังรู้ความจริงด้วยว่าด้านที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเองเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด ถ้าสามารถรักษาด้านนี้เอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ตลอดไปย่อมมีโอกาสที่จะพัฒนาสติปัญญาของตนให้มีความเฉียบแหลมและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังที่ได้เคยเขียนบทความเรื่องหนึ่งเอาไว้ในอดีตโดยตั้งชื่อเรื่องว่า “ถ้าสังคมไม่ตกต่ำหนักก็ย่อมมองไม่เห็นปราชญ์” ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการที่สังคมเกิดปัญหาหนัก แต่ละคนควรมองเห็นเป็นโอกาสในการเรียนรู้ความจริงจากใจตนเองให้มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น
            อนึ่ง ทุกวันนี้ภายใต้อิทธิพลวัตถุคนส่วนใหญ่ที่มีรากฐานจิตใจอ่อนแอ หลังจากเสพรสชาติความสะดวกสบายจากวัตถุเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่มักทำให้เกิดการลืมตัว ซึ่งแน่นอนที่สุดย่อมมองข้ามคุณค่าของสิ่งที่กล่าวมาแล้วอย่างน่าเสียดาย แต่ถ้ามีรากฐานจิตใจเข้มแข็ง ย่อมรู้สึกท้าทายที่จะเดินทวนกระแสสังคมอย่างผู้กล้าหาญ อีกทั้งรู้ว่าการเดินทวนกระแสย่อมส่งผลทำให้ตนสามารถหยั่งรู้คุณค่าของชีวิตตัวเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้คู่ควรแก่การที่สังคมจะยอมรับว่า เป็นบุคคลผู้เป็นปราชญ์แห่งยุค นอกจากนั้นบุคคลผู้เป็นปราชญ์ย่อมมีศิลปะในการดำเนินชีวิตอยู่ในจิตวิญญาณอย่างเป็นธรรมชาติมาโดยตลอดอยู่แล้ว
            แต่คนยุคนี้หากพูดถึงความสำคัญของศิลปะมักมุ่งมองไปยังการเขียนภาพ ถ่ายภาพ เล่นดนตรี แต่งกลอนและเพลง รวมทั้งการแสดงละคอน ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือที่สานเส้นทางการดำเนินชีวิตให้มุ่งเข้าไปสู่ศิลปะที่อยู่ในรากฐานจิตใจของแต่ละคนเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
            เช่นเดียวกันกับศิลปะในการปลูกต้นไม้ ซึ่งผู้เขียนได้รับมาจากประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตของตัวเองที่มักมีคนปรารภว่า เป็นเพราะตนอยู่กับต้นไม้จึงเป็นคนใจเย็น หากผู้ที่มองเห็นความจริงดังกล่าวจะเปิดใจให้อิสระยิ่งกว่านั้น ควรจะหลุดจากเงื่อนไขดังได้กล่าวมาแล้ว ทำให้รากฐานความคิดตนเองสามารถหยั่งลึกลงไปถึงความจริงอีกระดับหนึ่งที่ช่วยให้เห็นได้ว่า เป็นเพราะผู้เขียนยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ได้อย่างมั่นคงเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางความคิดซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติและส่งผลกระทบมาสู่ตนเองรุนแรงแค่ไหน จึงเป็นคนมีใจเย็นเป็นคุณสมบัติ
            อนึ่ง ผู้ที่มีรากฐานจิตใจบริสุทธิ์ถึงระดับหนึ่งย่อมมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังสามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความหลากหลายภายในรากฐานจิตใจของเพื่อนมนุษย์ซึ่งการปฏิบัติของแต่ละคนพร้อมจะส่งผลกระทบจิตใจตัวเองได้อย่างไม่หวั่นไหว โดยเป็นคนถือขันติธรรมเป็นคุณสมบัติอยู่ภายในจิตใจ ช่วยให้สามารถใช้ศิลปะในการดำเนินได้อย่างเหมาะสมกับเหตุและผล เช่นที่มีบางคนกล่าวเอาไว้ว่า “การดำเนินชีวิตควรจะแต้มด้วยสีสันต่างๆเพื่อให้โลกนี้มีบรรยากาศที่น่าสนใจ” แม้แต่การที่คนยุคก่อนเคยกล่าวฝากเอาไว้ว่า “พูดไปสองไพเบี้ยรู้แล้วนิ่งเสียตำลึงทอง”
            ซึ่งบุคคลผู้มีลักษณะดังกล่าวย่อมถือการปฏิบัติจากใจตนเองเอาไว้เหนือการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียนเป็นสัจธรรมอย่างชัดเจน  อย่างไรก็ตาม การใช้ศิลปะในการเขียนภาพก็ดี เล่นดนตรีก็ดี ถ่ายภาพก็ดี หรือปลูกต้นไม้ก็ตาม หาใช่เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไม่

            ถ้าสามารถหยั่งรู้ความจริงได้ว่า ถ้าไม่มีสิ่งนั้นก็ย่อมไม่มีสิ่งนี้ ถ้าไม่มีสิ่งดังกล่าวเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ศิลปะภายในจิตวิญญาณตนก็ย่อมไม่อาจที่จะนำเอาสิ่งที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนซึ่งหมายถึงจริยธรรมและคุณธรรมกลับออกไปสู่ภายนอกให้เพื่อนมนุษย์แต่ละคนมีโอกาสสัมผัสได้และรับรู้ได้อย่างทีเหตุมีผล ความหวังที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขอีกทั้งเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ก็ย่อมไม่ประสบผลสำเร็จ
            หวนกลับไปรำลึกถึงสิ่งซึ่งองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสฝากไว้ในอดีตว่า บุคคลใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก บางคนอ่านแล้วอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานแคบๆ โดยเน้นที่ดนตรีอย่างเดียว แต่ถ้านำมาพิจารณาบนพื้นฐานปรัชญา คำว่าดนตรีมีความกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งกว่าเพียงการดีดสีตีเป่าและขับร้อง ทั้งนี้และทั้งนั้นผู้เขียนเคยให้แง่คิดฝากไว้แก่วงดนตรีสากลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นับเป็นเวลากว่าสามสิบปีมาแล้วว่า ศิลปะการดนตรีหมายถึงศิลปะในการดำเนินชีวิตที่มีการฝึกฝนให้คนรู้จักจังหวะจะโคน รู้ผ่อนสั้นผ่อนยาว แม้ประโยชน์ต่างๆ ในการแต่งเพลงย่อมมีทั้งทำนองที่เป็นคำถามและคำตอบอย่างผสมกลมกลืนอยู่ภายในตัวเอง หาใช่แต่เพียงเสียงเพลงเท่านั้นไม่
            พ่อฉันซึ่งเคยเป็นมหาดเล็กที่ใกล้ชิดกับพระยุคลบาทได้บอกฉันเอาไว้ว่า ในช่วงที่มีการแสดงละคอน ในหลวงจะทรงวางพระองค์เอาไว้ในบทบาทของคนรับใช้และให้มหาดเล็กเป็นนาย แม้ตบพระเศียรเล่นก็ยังได้ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงมีความรู้สึกอยู่ลึกๆ ในพระทัยที่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงหาใช่ว่าถ้ามีพระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินแล้วบ้านเมืองจะไม่ใช่ประชาธิปไตย ทั้งนี้และทั้งนั้นความเป็นประชาธิปไตยจึงอยู่ที่รากฐานจิตใจของผู้นำในการปฏิบัติที่มีธรรมะอยู่ในจิตวิญญาณ
            นอกจากนั้นพ่อฉันยังอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสมาบันทึกลงไว้ในชีวิตประจำวันของพ่อว่า โลกเรานี้คือละครโรงใหญ่ อีกด้วย

            ดังนั้นความหมายของศิลปะในการดำเนินชีวิตจึงมีความลุ่มลึกถึงสัจธรรม อันเหนือกว่าเพียงการแสดงออกถึงงานในด้านศิลปะ ไม่ว่าจะปรากฏออกมาในรูปแบบใดก็ตาม ยิ่งกว่านั้นน่าจะหมายถึงการนำปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างมีความสุข

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

นครนายก Nakhon Nayok

ศิลปะกับชีวิต

 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลิขิตข้อความในเชิงปรัชญาพระราชทานไว้แก่พสกนิกรทุกคนว่า ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก…” ประเด็นนี้ถ้าจะพิจารณาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนที่หวังสร้างพื้นฐานในด้านคุณค่า


        คำว่าดนตรีคงไม่ได้หมายความแต่เรื่องการเล่นดนตรีเท่านั้น หากลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งดังกล่าว ควรหมายถึงวิถีการดำเนินชีวิตที่มีศิลปะอยู่ในรากฐานจิตใจเพื่อหวังใช้ความรู้และความเข้าใจให้ถึงความจริงซึ่งจะนำไปสู่ประโยชน์สุขของแต่ละคนให้มีความเป็นไปได้
        เมื่อพูดถึงงานศิลปะสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนี้คงจะมองเห็นความหมายที่ครอบคลุมการดำเนินชีวิตและการทำงานได้ทุกเรื่อง ดังนั้นไม่ว่าศิลปะการดนตรี ศิลปะการเขียนภาพ ศิลปะการถ่ายภาพ ศิลปะป้องกันตัวและวรรณศิลป์ ล้วนแล้วมีรากฐานเป็นหนึ่งเดียวกันหมด
        รากฐานดังกล่าว ถ้าใครไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนฉันจะบอกให้ว่าศิลปะทุกชนิดล้วนมีรากฐานอยู่ในจิตใจเราเอง ถ้าใครถามว่าสิ่งที่อยู่ในใจเหล่านั้นๆมันคืออะไร ฉันคิดว่าคงตอบได้ไม่ยากถ้าแต่ละคนเป็นคนรู้จักสำรวจตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะกล่าวว่ามันเหมือนกับเส้นผมบังภูเขามันก็ใช่ แม้แต่เส้นผมชิ้นเล็กๆแต่ภูเขาเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารมันยังบังได้ เพราะว่ามันอยู่ในระยะทางที่ห่างกันมาก
        เธอที่รักทุกคนลองเอาของเล็กๆมาไว้ใกล้ตาเราส่วนของใหญ่ไม่ว่าจะใหญ่โตมโหฬารแค่ไหนมันอยู่ไกลๆ ของเล็กมันก็อาจจะบังได้สนิท ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเราคิดว่าสติปัญญาของเราเองแม้จะเล็กแค่ไหนถ้าวัตถุที่ใหญ่โตมโหฬารมันอยู่ไกลเรามากๆ ทำไมสติปัญญาตัวเองมันถึงมองเห็นได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเราเองว่า เพราะเราไม่อาจปรับความใหญ่เล็กของสิ่งที่อยู่ภายนอกให้มีความเท่าเทียมกันได้จึงทำให้ไม่อาจมองเห็นความจริงได้ว่า คนเราทุกคนแม้ว่าจะมีความใหญ่เล็กไม่เท่ากัน แต่ถ้าสามารถมองเห็นความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันก็ย่อมเห็นความจริงได้ไม่ยากว่า เราแต่ละคนล้วนเป็นคนเหมือนกันทั้งนั้น เพราะเรามีสติปัญญาที่มืดบอดจึงไม่สามารถมองอย่างผู้รู้ความจริงได้ ดังเช่นการที่มวลชนในสังคมมีการแบ่งชนชั้น เรื่องนี้ควรจะเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน
        ดังนั้นการเล่นดนตรีก็ดี การประกอบงานศิลปะอื่นใดก็ตาม ถ้าเรารู้จักนำมาใช้ประโยชน์ย่อมรู้เท่าทันได้ว่าไม่ใช่เรื่องเอามันมาตีเป็นมูลค่าที่แตกต่างกันเพื่อหวังหาเงิน หากนำมาใช้ประโยชน์ในการประเทืองปัญญามากกว่าสิ่งอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เป็นวัตถุเราควรจะรู้เท่าทันมันมากกว่าการหลงอยู่กับมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ส่วนคนที่เอางานศิลปะของตนเองมาเน้นความสำคัญถึงความแตกต่างในด้านมูลค่าเพื่อหวังหาเงิน ถ้าฉันจะพูดว่าคนลักษณะนี้ถ้าจะเปรียบกับธุรกิจอย่างอื่น เห็นจะต้องประณามกันว่า มันไม่ใช่ศิลปะที่นำมาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ หากเป็นงานที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือขายตัวของตนเองอย่างน่าอับอายที่สุด
        การคิดหาเงินไม่ใช่เรื่องที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลสำหรับคนที่ได้รับเงินมาจากงานศิลปะของตัวเองมันก็มีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งควรจะได้แก่คนที่ตั้งใจจะเอาผลงานของตัวออกมาเร่ขาย คนประเภทนี้แม้ว่าจะไม่ใช่โสเภณีแต่ก็เป็นโสเภณีทางใจ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่ใช้ผลงานในด้านศิลปะของตนเป็นสื่อความรักบนพื้นฐานคุณธรรมเพื่อมอบให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง  คนประเภทนี้ถ้าได้รับเงินมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้คิดตั้งใจจะนำงานมาค้าขาย ก็ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่มีจิตวิญญาณในด้านศิลปะอย่างแท้จริง


ทั้งนี้และทั้งนั้น ถ้าจะพูดว่าคนประเภทหลังควรได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินโดยธรรมชาติมันก็น่าจะถูกต้อง ซึ่งคนประเภทนี้ควรจะเป็นเพื่อนฝูงที่สามารถคบได้โดยไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรแก่ใครทั้งนั้น คงมีแต่ความรักที่มอบให้แก่แผ่นดินถิ่นเกิด รวมทั้งเพื่อนมนุษย์ทุกรูปลักษณะอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นแง่คิดสำหรับเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่หวังจะนำตนไปสู่วิถีทางที่สร้างสรรค์ต่อไป


                                ๑๖ มกราคม ๒๕๕๑

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

วิธีเขียนคิ้วให้สวยสง่างาม (How To Write eyebrow.)

วิธีเขียนคิ้วให้สวยสง่างาม (How To Write eyebrow.)
 วิธีเขียนคิ้วให้ได้ดูตามแบบที่คุณต้องการ อาจจะต้องลองเขียนให้ตัวเองนั้นดูมั่นใจเสียก่อน  วันนี้เราเลยมีวิธีเขียนคิ้วให้สวยเลิศตามแบบที่คุณต้องการมาฝากคุณสาวๆ กันครับ ใครอยากเขียนคิ้วกันแล้ว งั้นไปเริ่มต้นกันเลย
      
วิธีเขียนคิ้วขั้นตอนที่ 1เตรียมกระจกไว้ในมือให้พร้อม จากนั้นก็หาที่เหมาะ ๆ ที่มีแสงสว่างตามธรรมชาติ พู่กันเขียนคิ้วด้ามยาว (แบบปลาย เฉียงหรือปลายตรงก็ได้) วางด้ามพู่กันพาดจาก ปีกจมูกขึ้นไปถึงหัวตาและหัวคิ้ว ใช้แหนบถอนขนคิ้วที่อยู่นอกแนวด้ามพู่กันออกซะ
      
วิธีเขียนคิ้วขั้นตอนที่ 2 : วางด้ามพู่กันพาดจากปีกจมูก ขึ้นไปถึงหางตา นี่คือจุดที่คิ้วควรเริ่มเฉียงขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องถอนคิ้วในบริเวณนี้ออกแค่มาร์กจุดเอาไว้สำหรับเขียนคิ้วทีหลังก็พอ
      
วิธีเขียนคิ้วขั้นตอนที่ 3 : เสร็จแล้วก็เลื่อนด้ามพู่กันให้พาดจากปีกจมูกผ่านจุดกึ่งกลางของลูกตาดำ นี่คือจุดโค้งสูงสุดของคิ้ว มาร์กจุดนี้เอาไว้ด้วย
      
วิธีเขียนคิ้วขั้นตอนที่ 4 : วางด้ามแปรงแนวนอน พาดจากหัวคิ้วไปถึงหางคิ้ว แนวนี้ควรเป็นเส้นตรง ฉะนั้น จึงอาจต้องถอนขนคิ้วรก ๆ นอกแนว ออกไป โดยให้หางคิ้วดูเรียวลงเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ใช้ดินสอเขียนคิ้วเติมแต่งให้คมชัดยิ่งขึ้น

และขั้นตอนวิธีเขียนคิ้วเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีคิ้ว ที่สวยรับกับใบหน้าของคุณได้ดีทีเดียวเชียวล่ะ ยังไงก็ลองไปทำตามกันดูน่ะ
แต่งคิ้วด้วย 4 ขั้นตอน รับรองสวยปิ๊งๆๆ!&เคล็ดลับวิธีแต่งดวงตาให้สวยงาม
การแต่งหน้าให้สวยคม การเขียนคิ้วให้สวยได้รูปมีส่วนสำคัญมากๆเลยนะครับ วันนี้เรามีวิธีทำให้คิ้วสวยไม่ใช่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป วันนี้

เปล่งประกายความงามจากดวงตา ด้วยตัวเองจากกฎแห่ง M (The M Rules)
-เริ่มด้วยการระบายสีบนเปลือกตาด้วยไฮไลท์ เบส ทั่วเปลือกตาบน จนถึงโหนกคิ้ว เพื่อปรับสภาพผิวบนเปลือกตาให้ดูเนียนเรียบ และเพื่อให้สีผิวดูสม่ำเสมอ จากนั้นให้สีสันบนเปลือกตาโดยเริ่มระบายเกลี่ยจากโคนขนตาจนถึงเบ้าตา

-ระบายสีคมชัดให้ดวงตาดูมีมิติ ด้วยการเกลี่ยจากหัวตาเข้ามา และเกลี่ยเพิ่มจากหางตาเข้ามา โดยเว้นบริเวณกึ่งกลางตาไว้ เติมประกายให้ดวงตาเพิ่มความโดดเด่น โดยระบายเฉพาะกึ่งกลางตาที่เว้น ไว้จาก
ขั้นตอนที่สาม

-สุดท้ายให้ดวงตาดูกลมโตและได้รูปดูสมส่วนกับใบหน้า ด้วยการเกลี่ยครีมอายไลเนอร์ให้ชิดขนตาบน และหนึ่งส่วนในสามส่วนของขอบตาล่างจากหางตา

ความสำคัญของคิ้ว  
คิ้วเปรียบเสมือนกรอบของใบหน้าของคนเรา และยังเป็นเครื่องวัดความหน้าจืดได้อีกด้วย สาวแพรบอกว่าคิ้วสำคัญกับหน้ามาก ถึงจะไม่แต่งหน้า แต่ถ้ามีคิ้วที่เรียบร้อยและได้รูปสวยงาม ก็จะทำให้หน้าดูไม่โทรมครับ และคิ้วยังบ่งบอกถึงความเรียบร้อยของคนเราอีกด้วย

ทรงคิ้วต่างๆ Eyebrow Shapes 
คิ้วมีหลายแบบ หลายขนาด หลายทรง จะบาง จะยาว จะโก่งมากน้อย ก็แล้วแต่ความชอบและสไตล์ของเรา

แนะนำวิธีเขียนคิ้วเข้มสไตล์เกาหลี
สาวรู้หรือเปล่าครับว่าคิ้วหนาๆที่ดูเป็นธรรมชาติจะทำให้เราดูหน้าอ่อนกว่าวัย (หรือหน้าเด็ก) ลงจริงๆนะครับ เรามีวิธีเขียนคิ้วหนาสไตล์เกาหลีมาบอกสาวๆกันครับ

1. จัดระเบียบขนคิ้วด้วยการตัดขนคิ้วที่ยาวเกินไปออกก่อนครับใช้แปรงหวีขนคิ้วไปตามแนวขน ถ้าขนคิ้วเส้นไหนที่เด้งออกมาไม่เป็นระเบียบตัดออกด้วยกรรไกรเลยครับ อย่าตัดเข้าไปลึกมากนะครับ เพราะคิ้วอาจจะแหว่งครับ ค่อยๆเล็มออกทีละนิดจนกว่าจะได้ทรงครับ

2. กันขนคิ้วที่งอกหรอมแหรมด้านล่างและด้านบนบริเวณรอบคิ้วออก จะทำให้คิ้วของเราดูเป็นระเบียบและดูเด่นมากขึ้น (เราอาจจะต้องกันช่วงหัวคิ้วด้านบนและด้านล่างออกด้วย เพื่อให้คิ้วสมดุลกันครับ)

3. นำดินสอเขียนคิ้วเขียนไปตามแนวขนคิ้ว ถมส่วนที่เป็นช่องว่างให้หมด (ดินสอเขียนคิ้วควรเลือกสีอ่อนกว่าสีผมนะครับ) แล้วค่อยๆเติมความหนา และความเข้มทีละนิดจนกว่าจะได้ตามที่เราต้องการ อย่าให้เข้มมากจนเกินไป แล้วใช้แปรงปัดคิ้วเบลนด์สีให้สม่ำเสมอกัน ส่วนหัวคิ้วอย่าถมให้เห็นสีชัดมากจนเกินไป ถ้าชัดมากให้เบลนด์ออกให้ดูเบลอๆหน่อยจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติครับ

4. สุดท้ายปัดมาสคาร่าคิ้ว เพื่อเป็นการล็อกขนคิ้วที่เราเขียนไม่ให้ชี้ไม่เป็นทิศเป็นทางครับปัดไปตามแนวขนคิ้วครับ เท่านี้เราก็ได้คิ้วที่สวยเข้มแบบสาวเกาหลีแล้ว

วันนี้มาเร็วไปเร็วอีกเช่นเคยครับ  ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ ขอให้คุณผู้หญิงทุกๆท่านสวยใสกันทุกคนนะครับ

เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย menmen  เขียนโดย 

ประวัติ พอล โกแกง (Paul Gauguin)

ประวัติ พอล โกแกง (Paul Gauguin)

๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ พอล โกแกง (Paul Gauguin) เสียชีวิต

ภาพวาดพอล โกแกง
โกแกง เป็นศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสในกลุ่ม โพสต์-อิมเพรสชั่นนิสม์ (Post-Impressionism) เกิดเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๓๙๑ ที่กรุงปารีส ตอนอายุ ๓ ขวบครอบครัวต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่ประเทศเปรู แต่พ่อของเขาเสียชีวิตระหว่างทาง เขากับพี่สาวและแม่ได้อาศัยอยู่กับลุงที่เมืองลิมา (Lima) ซึ่งเมืองนี้ได้สร้างภาพประทับใจให้เขาได้แสดงออกในผลงานศิลปะในเวลาต่อมา

ตอนอายุ ๗ ขวบโกแกงและครอบครัวย้ายกลับไปฝรั่งเศสอีกครั้ง เมื่อมีอายุได้ ๑๗ ปีเขาเข้าทำงานเป็นลูกเรือในเรือเดินสมุทร และเข้ารับราชการทหารกับราชนาวีฝรั่งเศส จากนั้นก็เล่นหุ้น แต่งงานและมีลูก ๕ คน นับว่าเป็นครอบครัวที่มีความสุขเขาใช้เวลาว่างในการเขียนรูป และสะสมผลงานศิลปะ

จนกระทั่งได้รู้จักกับ กามิล ปิซาโร (Camille Pssarro) ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ขาวฝรั่งเศส ได้แนะนำเขาให้รู้จักกับศิลปินคนอื่นๆ และบอกให้เขาเขียนรูปของตัวเองต่อไป โกแกงจึงเช่าสตูดิโอและเขียนรูปอิมเพรสชั่นนิสม์อยู่ระหว่างปี ๒๔๒๔ - ๒๔๒๕

อีกสองปีต่อมาเขาพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แล้ววันหนึ่งเขาก็ตัดสินใจละทิ้งการงานที่มั่นคง ชีวิตที่สะดวกสะบายและครอบครัวเพื่อออกมาเขียนรูปอย่างจริงจัง เขาออกไปเขียนรูปกับปิซาโร เซซาน (Paul Czanne) และแวนโก๊ะห์ (Vincent van Gogh) ในปี ๒๔๓๒ โกแกงได้แสดงงานศิลปะที่ปารีสและเริ่มมีชื่อเสียง

ในระยะนั้นศิลปะตะวันออกและแอฟริกา เริ่มเข้ามาเผยแพร่ในตะวันตก โดยเฉพาะงานพื้นบ้าน (folk art) และภาพพิมพ์ญี่ปุ่น โกแกงมีความสนใจงานศิลปะพื้นบ้านอยู่แล้วจึงตัดสินใจไปใช้ชีวิตเขียนรูปที่เกาะตาฮิติ (Tahiti) ที่นี่เองเขาได้เกิดแรงบันดาลใจ พัฒนาฝีมือสร้างสรรค์งานศิลปะออกมาให้โลกชื่นชมเป็นจำนวนมาก

ภายหลังเขาได้ไปใช้ชีวิตที่เกาะมาร์เควซาส์ (Marquesas) ในบั้นปลายชีวิตเขาตาบอด ป่วยด้วยโรคซิฟิลิส และเสียชีวิตที่นี่ ก่อนจะถูกนำศพไปฝังที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งบนเกาะตาฮิติ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขารักมากที่สุด

ภาพวาดของโกแกงหลังจากที่เป็นชาวเกาะ มักเต็มไปด้วยสีสันสดจัด รูปทรงเรียบง่าย บิดเบี้ยว แบนเพราะไม่มีเงา แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวและวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวเกาะ ต่อมาเรียกสไตล์ศิลปะแบบนี้ว่า Synthetism เขาเชื่อว่าศิลปินสามารถสร้างงานที่ดีได้หากได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โกแกงนับเป็นศิลปินหัวขบถขนานแท้ที่กล้าละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำงาน ศิลปะที่ตนรัก โกแกงเป็นศิลปินในกลุ่มโพสต์-อิมเพรสชั่นนิสม์ ร่วมกับเซซาน และ ฟาน ก็อกห์ ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art)

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ประวัติ จิตกรเอก ปาโบล รุยซ์ ปีกัสโซ

ประวัติ จิตกรเอก ปาโบล รุยซ์ ปีกัสโซ

ปาโบล รุยซ์ ปีกัสโซ (สเปน: Pablo Ruiz Picasso) (25 ตุลาคม ค.ศ. 1881-8 เมษายน ค.ศ. 1973) จิตรกรเอก ของโลก เป็นบุคคลที่นิตยสาร TIME ยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษ ที่ 20 ปีกัสโซเกิดที่เมืองมาลากา แคว้นอันดาลูเซีย ประเทศสเปน เป็นบุตรชายคนโตของดอนโคเซ รุยซ์ อี บลัสโก (ค.ศ. 1838-1913) กับมารีอา ปีกัสโซ อี โลเปซ บิดาเป็นครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัย เขาฉายแววการเป็นศิลปินระดับโลกด้วยการพูดคำว่า "piz, piz" [มาจากคำว่า "lápiz" (ลาปิซ) ที่แปลว่าดินสอในภาษาสเปน] เป็นคำแรก แทนที่จะพูดคำว่า "แม่" เหมือนเด็กทั่วไป

ปีกัสโซได้รับจานสีและพู่กันเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 6 ขวบจากบิดา ครั้งนึงที่บิดาของปีกัสโซกำลังวาดรูปนกพิราบของเขาอยู่นั้น สิ่งที่น่าทึ่งก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อบิดาของเขาออกไปจากห้องเพื่อทำอะไรบางอย่าง ปีกัสโซได้เข้าไปในห้อง แล้ววาดภาพนกพิราบต่อจนเสร็จ เมื่อบิดาเขากลับเข้ามาจึงได้พบว่าภาพที่วาดนั้น เสร็จสมบูรณ์และมีพลังมากกว่าที่ตนเองวาดเสียอีก

ปีกัสโซเริ่มสูบซิการ์ตั้งแต่อายุ 12 ปี จึงอาจเป็นสาเหตที่ทำให้เขามีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ปีกัสโซเสียชีวิตเมื่ออายุ 91 ปี
ภาพ Garçon à la pipe ในยุค Rose Period



1. Blue Period 1901-1904 (ยุคสีน้ำเงิน)
2. Rose Period 1904-1906 (ยุคสีชมพู)
3. African-Influenced Period
4. Cubism (บาศกนิยม)
5. Classicism and surrealism (ยุคคลาสสิกและเหนือจริง)
6. Later works (ยุคสุดท้าย)