ธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคนที่เกิดมาสู่โลกใบนี้
ย่อมมีศิลปะภายในจิตวิญญาณตนเองเป็นพื้นฐาน
หากบุคคลใดสามารถรักษาคุณสมบัติอันล้ำค่านี้เอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้ตลอดไป ย่อมมีโอกาสใช้เป็นพื้นฐานการเรียนรู้เพื่อการดำเนินชีวิตให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ที่มีความหลากหลายได้อย่างมีความสุข
ไม่ว่าจะอยู่ร่วมกับคนชาติใดภาษาใดแม้ศาสนาใด อีกทั้งมีพื้นฐานแนวคิดความเชื่อแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม
อนึ่ง ทุกวันนี้ภายใต้อิทธิพลวัตถุคนส่วนใหญ่ที่มีรากฐานจิตใจอ่อนแอ
หลังจากเสพรสชาติความสะดวกสบายจากวัตถุเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่มักทำให้เกิดการลืมตัว
ซึ่งแน่นอนที่สุดย่อมมองข้ามคุณค่าของสิ่งที่กล่าวมาแล้วอย่างน่าเสียดาย แต่ถ้ามีรากฐานจิตใจเข้มแข็ง
ย่อมรู้สึกท้าทายที่จะเดินทวนกระแสสังคมอย่างผู้กล้าหาญ อีกทั้งรู้ว่าการเดินทวนกระแสย่อมส่งผลทำให้ตนสามารถหยั่งรู้คุณค่าของชีวิตตัวเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ทำให้คู่ควรแก่การที่สังคมจะยอมรับว่า เป็นบุคคลผู้เป็นปราชญ์แห่งยุค
นอกจากนั้นบุคคลผู้เป็นปราชญ์ย่อมมีศิลปะในการดำเนินชีวิตอยู่ในจิตวิญญาณอย่างเป็นธรรมชาติมาโดยตลอดอยู่แล้ว
แต่คนยุคนี้หากพูดถึงความสำคัญของศิลปะมักมุ่งมองไปยังการเขียนภาพ
ถ่ายภาพ เล่นดนตรี แต่งกลอนและเพลง รวมทั้งการแสดงละคอน ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือที่สานเส้นทางการดำเนินชีวิตให้มุ่งเข้าไปสู่ศิลปะที่อยู่ในรากฐานจิตใจของแต่ละคนเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด
เช่นเดียวกันกับศิลปะในการปลูกต้นไม้
ซึ่งผู้เขียนได้รับมาจากประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตของตัวเองที่มักมีคนปรารภว่า “เป็นเพราะตนอยู่กับต้นไม้จึงเป็นคนใจเย็น” หากผู้ที่มองเห็นความจริงดังกล่าวจะเปิดใจให้อิสระยิ่งกว่านั้น
ควรจะหลุดจากเงื่อนไขดังได้กล่าวมาแล้ว ทำให้รากฐานความคิดตนเองสามารถหยั่งลึกลงไปถึงความจริงอีกระดับหนึ่งที่ช่วยให้เห็นได้ว่า
เป็นเพราะผู้เขียนยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ได้อย่างมั่นคงเข้มแข็ง
ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางความคิดซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติและส่งผลกระทบมาสู่ตนเองรุนแรงแค่ไหน
จึงเป็นคนมีใจเย็นเป็นคุณสมบัติ
อนึ่ง ผู้ที่มีรากฐานจิตใจบริสุทธิ์ถึงระดับหนึ่งย่อมมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองอย่างเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
นอกจากนั้นยังสามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความหลากหลายภายในรากฐานจิตใจของเพื่อนมนุษย์ซึ่งการปฏิบัติของแต่ละคนพร้อมจะส่งผลกระทบจิตใจตัวเองได้อย่างไม่หวั่นไหว
โดยเป็นคนถือขันติธรรมเป็นคุณสมบัติอยู่ภายในจิตใจ ช่วยให้สามารถใช้ศิลปะในการดำเนินได้อย่างเหมาะสมกับเหตุและผล
เช่นที่มีบางคนกล่าวเอาไว้ว่า “การดำเนินชีวิตควรจะแต้มด้วยสีสันต่างๆเพื่อให้โลกนี้มีบรรยากาศที่น่าสนใจ” แม้แต่การที่คนยุคก่อนเคยกล่าวฝากเอาไว้ว่า
“พูดไปสองไพเบี้ยรู้แล้วนิ่งเสียตำลึงทอง”
ซึ่งบุคคลผู้มีลักษณะดังกล่าวย่อมถือการปฏิบัติจากใจตนเองเอาไว้เหนือการแสดงออก
ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียนเป็นสัจธรรมอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การใช้ศิลปะในการเขียนภาพก็ดี
เล่นดนตรีก็ดี ถ่ายภาพก็ดี หรือปลูกต้นไม้ก็ตาม หาใช่เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไม่
ถ้าสามารถหยั่งรู้ความจริงได้ว่า “ถ้าไม่มีสิ่งนั้นก็ย่อมไม่มีสิ่งนี้” ถ้าไม่มีสิ่งดังกล่าวเป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่ศิลปะภายในจิตวิญญาณตนก็ย่อมไม่อาจที่จะนำเอาสิ่งที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนซึ่งหมายถึงจริยธรรมและคุณธรรมกลับออกไปสู่ภายนอกให้เพื่อนมนุษย์แต่ละคนมีโอกาสสัมผัสได้และรับรู้ได้อย่างทีเหตุมีผล
ความหวังที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขอีกทั้งเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ก็ย่อมไม่ประสบผลสำเร็จ
หวนกลับไปรำลึกถึงสิ่งซึ่งองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสฝากไว้ในอดีตว่า
“บุคคลใดไม่มีดนตรีกาล
ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก”
บางคนอ่านแล้วอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานแคบๆ โดยเน้นที่ดนตรีอย่างเดียว
แต่ถ้านำมาพิจารณาบนพื้นฐานปรัชญา
คำว่าดนตรีมีความกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งกว่าเพียงการดีดสีตีเป่าและขับร้อง
ทั้งนี้และทั้งนั้นผู้เขียนเคยให้แง่คิดฝากไว้แก่วงดนตรีสากลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นับเป็นเวลากว่าสามสิบปีมาแล้วว่า
“ศิลปะการดนตรีหมายถึงศิลปะในการดำเนินชีวิตที่มีการฝึกฝนให้คนรู้จักจังหวะจะโคน
รู้ผ่อนสั้นผ่อนยาว แม้ประโยชน์ต่างๆ
ในการแต่งเพลงย่อมมีทั้งทำนองที่เป็นคำถามและคำตอบอย่างผสมกลมกลืนอยู่ภายในตัวเอง
หาใช่แต่เพียงเสียงเพลงเท่านั้นไม่”
พ่อฉันซึ่งเคยเป็นมหาดเล็กที่ใกล้ชิดกับพระยุคลบาทได้บอกฉันเอาไว้ว่า
“ในช่วงที่มีการแสดงละคอน
ในหลวงจะทรงวางพระองค์เอาไว้ในบทบาทของคนรับใช้และให้มหาดเล็กเป็นนาย
แม้ตบพระเศียรเล่นก็ยังได้” แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงมีความรู้สึกอยู่ลึกๆ
ในพระทัยที่เป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงหาใช่ว่าถ้ามีพระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินแล้วบ้านเมืองจะไม่ใช่ประชาธิปไตย
ทั้งนี้และทั้งนั้นความเป็นประชาธิปไตยจึงอยู่ที่รากฐานจิตใจของผู้นำในการปฏิบัติที่มีธรรมะอยู่ในจิตวิญญาณ
นอกจากนั้นพ่อฉันยังอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสมาบันทึกลงไว้ในชีวิตประจำวันของพ่อว่า
“โลกเรานี้คือละครโรงใหญ่” อีกด้วย
ดังนั้นความหมายของศิลปะในการดำเนินชีวิตจึงมีความลุ่มลึกถึงสัจธรรม
อันเหนือกว่าเพียงการแสดงออกถึงงานในด้านศิลปะ ไม่ว่าจะปรากฏออกมาในรูปแบบใดก็ตาม
ยิ่งกว่านั้นน่าจะหมายถึงการนำปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างมีความสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น